สตูเต้าหู้เผ็ดเกาหลี
สวัสดีทุกคนวันนี้เราจะมาทำซันดูบุจิเก สตูเต้าหู้เผ็ดเกาหลี กัน!! สำหรับสูตรนี้คุณจะต้องใช้น้ำมันงา พริกป่น เกาหลี ไวน์ปรุงอาหารเอเชียและกิมจิ ทั้งหมดนี้สามารถพบได้ที่ร้านขายของชำในเกาหลีหรือในท้อปนั่นเอง คล้ายกับเต้าหู้มาโปะซันดูบุจิเกะบรรจุรสชาติได้มากมายในเวลาอันสั้น เบคอนในปริมาณเล็กน้อยทำให้อาหารจานนี้มีรสชาติอร่อยราคาไม่แพงและเป็นตัวเลือกในช่วงกลางคืนได้อย่างง่ายดาย เสิร์ฟพร้อมข้าวตามต้องการ
ส่วนผสม
- น้ำมันงา 2 ช้อนชา
- เบคอน 2 ชิ้นหั่นบาง ๆ ตามแนวกว้าง
- เห็ดเคมินิ 6 อันหั่นบาง ๆ
- หัวหอมหั่นเต๋าเล็ก ½ ถ้วย
- กระเทียมสับละเอียด 6 กลีบ
- สาเกโซจูหรือไวน์ปรุงอาหาร 2 ช้อนโต๊ะ
- พริกป่นเกาหลี (โกชูการุ) 1 ช้อนโต๊ะ
- กิมจิ ตามชอบ
- น้ำสต๊อก 1 1/2 ถ้วยตวง (หรือแทนด้วยน้ำเปล่าบวก 1/2 ช้อนโต๊ะวางมิโซะ )
- น้ำปลา 1 ช้อนชา
- น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา
- เต้าหู้เนื้อแน่นปานกลางหั่นเป็นก้อน 1 ซอง (1 ปอนด์ / 454 กรัม)
- แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ(ไม่จำเป็น)
- ผักโขม 1 กำมือ
- ผักชีและหัวหอมสีเขียวสับ
ขั้นตอนการทำ สตูเต้าหู้เผ็ดเกาหลี
1.ใส่น้ำมันงาลงในหม้อใบเล็กด้วยไฟปานกลาง ใส่ชิ้นเบคอนและทอดจนไขมันส่วนใหญ่ออกมาและเบคอนกรอบประมาณ 8 นาที หากมีน้ำมันมากเกินไปให้สำรองไว้ประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ ในหม้อแล้วเทส่วนที่เหลือลงในกระป๋องจารบีที่กำหนด (อลูมิเนียมที่ล้างออกแล้วจะทำได้)
2.ใส่เห็ดและผัดด้วยไฟแรงปานกลางจนเป็นสีน้ำตาลประมาณ 3-4 นาที ลดความร้อนลงเหลือปานกลางใส่หัวหอมและกระเทียมแล้วปรุงต่อไปอีก 3-4 นาที ถ้ากระทะแห้งให้ใส่จาระบีเบคอนจากก่อนหน้านี้หรือเติมน้ำมันคาโนลาเล็กน้อย ล้างหม้อด้วยเหล้าสาเกแล้วปล่อยให้ระเหย ผัดให้คลายความชอบที่ก้นหม้อ
3.ใส่พริกป่นเกาหลี (โกชูการุ) กิมจิน้ำสต๊อกน้ำปลาน้ำตาลทรายแดงและเต้าหู้ลงในหม้อแล้วนำไปต้ม หรี่ไฟลงและปรุงอาหารเป็นเวลา 10 นาที อย่ากวนอย่างแรงเพราะไม่อยากให้เต้าหู้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ
4.ถ้าอยากให้น้ำซุปข้นขึ้นหน่อยให้ใส่แป้งข้าวโพดลงไป ปิดความร้อนและพับผักโขมทารกหนึ่งกำมือ ปิดท้ายด้วยผักชีและหัวหอมสีเขียว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
เมนูแนะนำ ซุปฟักทองรสเผ็ด
Credit ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *